วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อัตชีวประวัติของข้าพเจ้า


อัตชีวประวัติของข้าพเจ้า ข้าพเจ้านางสาวกัณตา พุทธสาร เกิดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2537 ปัจจุบันอายุ 19 ปี เกิดที่โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพมหานคร มีน้องชาย 1 คน น้องชาย อายุอ่อนกว่าข้าพเจ้า 2 ปี

เริ่มเข้าศึกษาที่โรงเรียนระดับอนุบาลที่โรงเรียนวัดสามัคคีธรรม การเรียนในชั้นอนุบาลนั้นเท่าที่จำความได้ เป็นการฝึกเขียนตัวอักษร ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เรียนประมาณครึ่งวัน นอนอีกครึ่งวัน ตอนกลับบ้านก็จะนั่งรอมารดาขับรถมารับ เพราะตอนนั้นขึ้นรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างกลับบ้านไม่เป็น

พออายุย่างเข้า 7 ขวบก็เข้าศึกษาต่อระดับ ประถมศึกษาต้น จนจบระดับประถมศึกษาปลาย ที่โรงเรียนเดิม นอกจากการเรียนแล้ว กิจกรรมอื่นๆที่ทำก็เหมือนเด็กประถมทั่วไปในยุคนั้น เช่น เล่นกระโดดหนังยาง เล่นซ่อนหา เล่นแปะแข็ง เป็นต้น และในช่วงเวลาประถมนั้น เกิดเหตุให้ผมต้องมีรอยตำหนิ 2 รอยด้วยกัน คือ

- รอยแผลที่น่องขาขวา เกิดจากที่ข้าพเจ้าปั่นจักรยานล้ม เลยโดนที่ปั่นของจักรยานเสียบเข้าไป ต้องส่งโรงพยาบาลเย็บอยู่หลายแผลเหมือนกัน

- รอยตำหนิที่เกิดจากตอนที่เป็นโรคอีสุกอีใส เป็นวงๆอยู่บนหัวไหล่ข้างซ้าย

รอยตำหนิ 2 รอยที่กล่าวมานี้ จนถึงตอนนี้ถ้าสังเกตดีๆก็ยังมองเห็นได้

ความสำเร็จและความล้มเหลว ที่น่ากล่าวถึงในช่วงที่เรียนระดับประถมศึกษานั้น คือช่วงประถม 2 และ ประถม 4 ที่สอบได้คะแนนเป็นอันดับต้นๆของห้อง (แต่ละห้องมีประมาณ 30-40 คน) ตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสอบไปให้ได้อันดับต้นๆแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา รู้แต่ว่ามารดา และอาจารย์ชื่นชม เราก็ทำไปตามนั้น

พอถึงช่วงประถมศึกษาปีที่ 5 ก็มีเรื่องให้เรียนรู้หลายอย่าง เช่น ได้อ่านการ์ตูนซีรีย์เรื่อง โดราเอมอน ฉบับลิขสิทธิ์ เป็นพอกเกตบุคเล่มละ 25 บาท ซึ่งเป็นการ์ตูนที่ข้าพเจ้าชื่นชอบจนถึงบัดนี้ สะสมของเล่นจากร้านแมคโดนัล (ชุดของสะสมแฮปปี้มิลสำหรับเด็ก)เล่นกับเพื่อนๆ ช่วงนั้นก็ยังมีโอกาสได้เล่น วีดีโอเกมส์เป็นครั้งแรก ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นเครื่อง family ของ Nintendo แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย และยังเป็นครั้งแรกที่ดิฉันกลับบ้านได้ด้วยตัวเองโดยการขึ้นรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างอีกด้วย ผลการศึกษาในช่วงนั้นไม่น่าพอใจเท่ากับตอนที่ศึกษาอยู่ตอนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 และ 4 โดยสอบได้อยู่ที่อันดับกลางๆของห้อง (อันดับ 19 ) ซึ่งก็คงเพราะไม่ได้สนใจการเรียนมากเหมือนที่ผ่านมานั่นเอง ข้อคิดของการใช้ชีวิตในช่วงนี้คือ อย่าไปสนใจการเรียนให้มากนัก ให้เราใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและสนุกสมกับเป็นวัยเด็กมากที่สุด เพราะโอกาสอย่างนี้จะไม่หวนกลับมาอีกแล้ว

พอถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าเริ่มสนใจการเรียนมากขึ้น เนื่องจากมีความจำเป็นต้องสอบเข้าชั้นระดับมัธยมศึกษาต้นในโรงเรียนอื่น เนื่องจาก โรงเรียนเดิมมีถึงเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ข้าพเจ้า และเพื่อนๆ จึงไปหาที่เรียนต่อที่อื่น โดยข้าพเจ้า และเพื่อนเก่าอีกบางส่วน ได้สอบเข้าโรงเรียนจันทร์หุ่นบำเพ็ญ และเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนแห่งนี้จนจบระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

เมื่อแรกเข้าศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ต้องเรียนรู้การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆอีกหลายคน สิ่งที่แตกต่างจากโรงเรียนเดิมสมัยเด็กๆ อย่างเห็นได้ชัด คือ นักเรียนหญิง ม.ต้น จะไว้ผมยาวเกินบ่าไม่ได้ ต้องตัดผมสั้น นักเรียนหญิง ม.ปลายก็ต้องไว้ผมหางม้า และนักเรียนชายไม่ว่าระดับชั้นใดๆก็ห้ามไว้ผมยาวเกินประมาณ 1 เซนติเมตร

ผลการเรียนในระดับชั้นมัธยมต้นนั้น ได้รับผลการเรียนที่ค่อนข้างดีในช่วงแรกๆ เนื่องจากยังไม่ค่อยสนิทกับใครมากนักทำให้มีเวลาใส่ใจกับการเรียนอย่างเต็มที่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปข้าพเจ้าได้รู้จักกับเพื่อนที่สนิทกันมากขึ้น มีการทำกิจกรรมต่างๆที่นอกเหนือจากการเรียนมากขึ้น ส่งผลให้การเรียนแย่ลง

เมื่อขึ้นเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็มีเหตุจำเป็นที่ทำให้ต้องใส่ใจในการเรียนมากขึ้น เนื่องจากจะต้องมีการยื่นคะแนนสอบ Admission นำคะแนนมาเพื่อใช้ในการเลือกคณะเมื่อจบการเรียนในชั้นมัธยมศึกษา โดยข้าพเจ้าเลือกที่จะเรียนในโรงเรียนกวดวิชาต่างๆ เนื่องจากเพื่อนคนอื่นๆก็เลือกที่จะเรียนกวดวิชาเช่นกัน ผลจากการตั้งใจเรียนนั้น ทำให้ผลการเรียนออกมาค่อนข้างดี วิชาที่ข้าพเจ้าชอบในการเรียนช่วงนี้ คือ วิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่ข้าพเจ้าให้ความสนใจกับมันเป็นอย่างมาก ส่วนวิชาที่ไม่ค่อยได้ให้ความสนใจเลย คือ วิชาภาษาไทย ข้าพเจ้าเริ่มมาสนใจเกี่ยวกับศาสตร์ทางด้านการพูด การท่องเที่ยว โดยมูลเหตุมาจากการชอบแสดงออก ชอบพูดในที่สาธารณะ

ต่อมาเมื่อ มารดาของข้าพเจ้าได้แนะนำให้ข้าพเจ้า เลือกเรียนครู เนื่องจากมองเห็นในตัวข้าพเจ้าว่า เป็นอาชีพที่เหมาะกับข้าพเจ้า และอาชีพนี้ยังสร้างความมั่นคงให้กับข้าพเจ้าและครอบครัวได้อีกด้วย

จากคำแนะนำของมารดาที่ได้กล่าวมา ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเลือกคณะ ครุศาสตร์ สาขาการประถมศึกษา ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เป็นอันดับหนึ่ง

เมื่อได้เข้ามาเรียนนั้น คิดว่า รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เนื่องจากบ้านของข้าพเจ้าอยู่ไกล การจราจรติดขัดเป็นจำนวนมาก และเป็นเวลานานหลายชั่วโมง แต่เมื่อเรียนไปได้เรื่อยๆก็รู้สึกสนุก ไม่ตึงเครียด เริ่มมีเพื่อนสนิท และเริ่มจัดการความเครียดได้เป็นอย่างดี

ในอนาคต ข้าพเจ้าก็จะต้องเป็นคุณครู และทำหน้าที่คุณครูให้สุดความสามารถ จะได้สมกับที่ได้เล่าเรียนมา สิ่งที่ข้าพเจ้าภูมิใจเป็นอย่างมาก คือ ความสำเร็จของลูกศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า แค่ได้ยินข่าวคราวของเขา ข้าพเจ้าก็สุขใจคะ
 
นางสาวกัณตา  พุทสาร รหัส55113400178 ตอนเรียน D1

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 4

สิ่งที่ดิฉันได้จากการเรียนรู้

       1. การเขียนอัตชีวประวัติ      เป็นเรื่องราวของบุคคลโดยเขียนขึ้นโดยบุคคลนั้นเองโปยเนื้อหา อาจเล่าถึงชีวิตส่วนตัวที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน หรือ ไม่เคยถูกเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน ชีวประวัติที่เขียนโดยเจ้าของชีวิต หรือในความหมายปัจจุบันหมายถึงประวัติที่ที่เขียนโดยเจ้าของชีวิตร่วมกับนักประพันธ์อาชีพในลักษณะบอกให้เขียน
       2. การเขียนบทวิจารณ์       การเขียนวิจารณ์ คือ การค้นหาข้อดีและข้อไม่ดีของเรื่องที่จะวิจารณ์
ชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขให้ดีขึ้น  เป็นการวิจารณ์เพื่อสร้างสรรค์
ลักษณะของการวิจารณ์
           1. การวิจารณ์เป็นการถ่ายทอดความคิดเห็น ชี้จุดเด่น จุดด้อยตลอดจนความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ
           2. เป็นข้อเขียนที่ชัดเจนในการบอกให้ผู้อ่านทราบถึงรายละเอียดของสิ่งนั้น ดังนั้นผู้วิจารณ์ต้องมีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับเรื่องที่วิจารณ์
เป็นอย่างดี 
           3. เป็นข้อเขียนที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย น่าอ่าน ทำให้ผู้อ่านติดตามอ่านจนจบ ใช้ถ้อยคำอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช้ถ้อยคำในเชิงประจาน หรือโจมตี
ผู้เขียนอย่างรุนแรง
โครงสร้างของบทวิจารณ์
           1.  ชื่อเรื่อง (Tlttle)  ควรตั้งชื่อเรื่องที่เรียกร้องความสนใจของผู้อ่านและสื่อความหมายได้ชัดเจน 
           2.  ความนำหรือประเด็นที่จะวิจารณ์ (Lead or Issue)  หรือบทนำ 
           3.  เนื้อเรื่อง (Body)  เป็นส่วนแสดงความคิดเห็นและรายละเอียดในการวิจารณ์ โดยนำเสนอจุดเด่น และจุดบกพร่องของเรื่องอย่างมีหลักเกณฑ์และมีเหตุผล
           4. บทสรุป (Conclusion) เป็นย่อหน้าสุดท้ายของบทวิจารณ์ เป็นการเขียนสรุปความคิดทั้งหมดที่วิจารณ์และให้แง่คิด หรือข้อสังเกต
ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน
       3. การเขียนเพื่อเล่าเรื่อง       ก่อนที่มนุษย์จะรู้จักคิดค้นตัวอักษรหรือตัวหนังสือขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร และเป็นหลักฐานบันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์นั้น มนุษย์ใช้ การเล่าเรื่อง เป็นช่องทางในการสื่อสารเพื่อถ่ายทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงประสบการณ์ที่พบเจอจากคนผู้หนึ่ง ไปสู่อีกผู้หนึ่ง จนเมื่อมนุษย์มีการ พัฒนาภาษาเขียน ขึ้นเป็นของตนเอง เรื่องเล่าต่างๆเหล่านี้ ก็ได้ถูกบันทึกลงในสื่อต่างๆ แบ่งแยกกันไปตามประเภท เรื่องเล่า หมายถึง เรื่องราวหรือเนื้อหาสาร(Message) ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ ความคิด หรือจินตนาการของบุคคล แล้วถูกนำมาถ่ายทอด หรือเผยผ่านช่องสาร(Channel) ไปสู่ผู้อื่นด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การพูด การเขียน โดยเรื่องเล่าแต่ละเรื่องนั้นมักแฝงไว้ด้วยวัตถุประสงค์ต่างๆ ที่ผู้เล่า (Sender) ต้องการจะถ่ายทอดไปสู่ผู้อ่าน หรือ ผู้ฟัง (Receiver) 

ความรู้ใหม่ที่ดิฉันได้รับ

       1. ความหมายของอัตชีวประวัติ
       2. วิธีการเขียนบทวิจารณ์
       3. ความหมายของการเขียนเพื่อเล่าเรื่อง

ข้อเสนอแนะ

       งานเขียนที่ผู้เขียน เขียนออกมา โดยมีเนื้อหาที่ถูกต้อง มีความทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นประเภทใด ก็ย่อมมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน อีกทั้งยังมีความสำคัญ ต่อประเทศชาติและตนเอง
นางสาวกัณตา   พุทธสาร   55113400178  ตอนเรียนD1